เทศน์เช้า วันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
อ้าว ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ธรรมะฟังทุกวัน ต้องฟังทุกวัน เพราะอะไร เพราะเราก็หายใจทุกวัน เราหายใจทุกวัน เรากินทุกวัน เรารักในหัวใจของเราทุกวัน เราจะดูแลหัวใจของเราไง มันจะทุกข์มันจะยาก มันจะทุกข์มันจะยากจากภายนอก ภายนอกทุกข์ยากมาก เวลามันขาดแคลนไป หิวกระหายน้ำ ได้ดื่มน้ำสักขันหนึ่งของใครคนนั้นมีบุญคุณกับเรา แม้แต่หิวกระหายน้ำมันก็ทุกข์แล้ว
บางคนบอกว่าเกิดมาไม่เคยเจอทุกข์ ไม่เคยเจอทุกข์ เอ็งไปรถติดในกรุงเทพฯ สิทุกข์ไม่ทุกข์ ขับถ่ายไม่ได้มันก็ทุกข์แล้ว เกิดมามันทุกข์ทั้งนั้นแหละถ้ามันจะขาดตกบกพร่องสิ่งใดมันเป็นเรื่องของธาตุขันธ์ เรื่องของอำนาจวาสนา ฟังธรรมๆ ฟังทุกวัน ฟังทุกวันแล้วปฏิบัติได้ไหม ดูสิ วันนี้วันพระๆ พระนอก พระใน เวลาพระนอก พระ ดูสิ พระนอกดูเราเห็นพระ เห็นพระนอกข้อวัตรปฏิบัติ พระในล่ะ พระในคือในหัวใจของเราไง
เราแสวงหานะ แสวงหาหัวใจให้เจอ ถ้าแสวงหาหัวใจ เรามาค้นคว้าๆ มา เหมือนกันหลวงตาท่านบอกอยู่ เวลาออกธุดงค์ๆ มันธุดงค์ไปหาอะไร ธุดงค์ไปหาอะไร ก็ธุดงค์ไปหาหัวใจของตัวเองนี้แหละ เวลาธุดงค์ไปธุดงค์ไปพุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทโธคำบริกรรมก็เพื่อหาหัวใจของตัว ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เรามาวัดมาวาเรามาทำบุญกุศล เรามามาวัดก็มาวัดหัวใจของเรา มาดูใจเรา มันขยันหรือมันขี้เกียจ มันเอาหรือมันไม่เอา เวลามันทุกข์มันยากข้างนอกมันก็อ้างไง โอ้โฮ ถ้าบวชแล้วจะเป็นพระอรหันต์เลยนะ ถ้าบวชแล้วจะไปให้พ้นทุกข์ไปเลยนะ เวลาบวชไปแล้วนะทำไป ๕ พรรษา ๑๐ พรรษาหมดแล้วหมดไฟ
ฉะนั้น ในธรรมวินัยบอกว่าต้องขอนิสัย ๕ พรรษาแล้วถึงออกจากนิสัยได้เขาถึงได้ธุดงค์ แต่ในบุพสิกขา บุพสิกขาแปลมาจากบาลีบอกว่าถ้าภิกษุบวชใหม่ ถ้าไปภาวนาที่ไหนถ้าจิตมันสงบดี จิตสงบได้ เราไม่มีครูบาอาจารย์ให้นิสัย เราก็ตั้งสัจจะไว้ว่าถ้าเราเจอครูบาอาจารย์เมื่อไหร่เราจะขอนิสัยเมื่อนั้น ตอนนี้ยังไม่เจอก็ภาวนาไป มันจะตัดตรงนี้ได้ไง แบบว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติไว้เหมือนกฎหมาย กฎหมายมันมีข้อยกเว้น ข้อยกเว้นเวลามีความจำเป็นมันมีข้อยกเว้น ยกเว้นไว้เพื่ออะไร ยกเว้นไว้เพื่อปฏิบัติธรรมนะ ยกเว้นไว้แต่เราเข้าศีล สมาธิ ปัญญานะไม่ใช่ยกเว้นเพื่อกิเลส
เวลาสัตตาหกาลิก สัตตาหกาลิกไปเพราะอะไร เพราะมันอยู่ โบราณสิ่งก่อสร้างเราทำกันเอง เวลามันชำรุดเสียหาย เราไปตัดไม้ตัดอะไรเพื่อมาซ่อมบำรุง สัตตาหกาลิก พอมันเจ็บไข้ได้ป่วย เดี๋ยวนี้มันสัตตาหกาลิกทุกวันเลย สัตตาหกาลิกมันเป็นเรื่องปกติเลย เพราะเปิดช่องไว้ กฎหมายมันมีข้อยกเว้น แต่ยกเว้นเพื่อคุณงามความดี ยกเว้นเพื่อฆ่ากิเลส ยกเว้นไว้เพื่อปฏิบัติธรรม ยกเว้นไว้เพื่อความเข้มงวดของเรา ไม่ใช่ยกเว้นไว้ให้พวกเฉื่อยชา ยกเว้นไว้อย่างนั้นไม่มีประโยชน์หรอก
ยกเว้น ดูสิ ภิกษุเป็นไข้ให้ฉันอาหารพอประทังชีวิตได้ มันล่อทั้งวันทั้งคืนเลย แต่เวลาหลวงตาท่านพูดเอง ท่านไปค้นคว้าในพระไตรปิฎก เวลาภิกษุไข้ให้ฉันน้ำข้าว ให้ฉันน้ำข้าวเพื่อบรรเทาทุกข์ บรรเทาธาตุขันธ์ไปเท่านั้นเอง ให้ฉันน้ำข้าว เวลาฉันน้ำข้าว เขาบอกว่าพระภิกษุฉันได้หมด ฉันได้หมดก็ฉันกันไป ภิกษุกฎหมายยกเว้นไว้เพื่อขยันหมั่นเพียร เพื่อชำระล้างกิเลส ไม่ใช่ยกเว้นไว้เข้าข้างตัวเอง ไม่ใช่ยกเว้นไว้เพื่ออ่อนแอ
เวลาจำพรรษากัน เวลาจำพรรษาแล้วจะออกวิเวก เราจะออกไป เราไม่ต้องถือผ้า ๓ ผืนตลอดไปภายใน ๑ เดือน ถ้าได้กฐิน ๔ เดือน แต่พระกรรมฐานเรา เวลาได้กฐิน ไม่ได้กฐินเราก็ถือของเราอย่างนี้ เราเอาจริงเอาจัง เอาจริงเอาจัง เอาจริงเอาจังเพราะว่าเราจะชำระล้าง เอาจริงเอาจังเพราะว่าเราจะมาค้นคว้าหามันไง
ฉะนั้น หลวงตาท่านบอกว่าเวลาแบกบริขารไป ธุดงค์ไปๆ ธุดงค์ไปหาอะไร ธุดงค์ไปหาอะไร ธุดงค์ไป ดูสิ เขาอยู่ป่าอยู่เขา เขาอยู่ป่าอยู่เขาเราก็รู้แล้วสภาพป่าเขาเป็นแบบนั้น แล้วเราธุดงค์ไปๆ จะธุดงค์ไปเอาสภาพแบบนั้นหรือ เราอยู่ทางโลกเราก็ได้ชีวิต เราก็รู้จักชีวิตของเราอยู่แล้ว ชีวิตมีแต่ความทุกข์ยากอย่างนี้ มาบวชพระ บวชพระขึ้นมาก็เพื่อจะประพฤติปฏิบัติ เห็นภัยในวัฏสงสาร บวชพระมาเพื่อจะชำระล้าง แล้วเข้าป่าไปทำไมล่ะ ป่ามันมีอะไรให้ ป่ามันมีอะไรให้ ป่ามันมีความสงัด มันมีความวิเวกให้ ป่ามันไม่ให้หัวใจมันฟู ป่าไม่ให้เราไปคึกคะนอง เราไปหาตรงนั้นไง
แต่เวลาไปหาป่ามามันก็จะไปสร้างป่าให้เป็นเมืองกัน โอ๋ย ไปขวนขวายกันใหญ่ นั่นเขาให้ไปสร้างธรรมและวินัยในหัวใจ เขาไม่ได้ไปสร้างอย่างอื่นหรอก เวลาเข้าป่าเข้าเขาไป เข้าป่าเข้าเขาไปก็เพื่อหาหัวใจของเรา ไอ้เรามาวัดมาวาเพื่อจะมาประพฤติปฏิบัติเราก็จะมาหาหัวใจของเรา แล้วจะหาหัวใจของเรา หัวใจดูสิ มันอยู่ในร่างกาย ร่างกายมีผิวหนังอยู่ แล้วเวลาความคิดมันส่งออกไปหมดเลย ไปอยู่ข้างนอกหมดเลย แล้วทำอย่างไรให้มันอยู่กับเราล่ะ ทำอย่างไรให้อยู่กับเรา เราถึงกำหนดพุทโธ พุทโธ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิจะรั้งหัวใจนี้ไว้ให้อยู่กับเราไง
ถ้ารั้งหัวใจอยู่กับเรา จะหาพระภายในไง ถ้าเราหาพระภายในได้ สิ่งที่มันสงบระงับเข้ามา สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มีมันมีค่ามาก สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติไว้ ท่านรู้จริงของท่าน ท่านพูดตามความจริงของท่าน แต่เรามันจะสุขได้อย่างไร สุขมันก็ต้องปรนเปรอมันสิ มันต้องเต็มที่มันถึงจะมีความสุข
มันจะมีความสุข มันจะเป็นสงบมันจะสุขได้อย่างไร ปรนเปรอขนาดไหนนะ คิดดูสิ เราไปงาน เราไปงานใช่ไหมเราไปช่วยงานเขา เราไปกินเลี้ยง ไอ้คนที่เขามาทำงาน พวกนักดนตรีต่างๆ เขาก็มาทำงานของเขา เขามาหาสตางค์ของเขา ไอ้เราไปเสียสตางค์ ไอ้เขามาได้สตางค์ แล้วมันสุขตรงไหนล่ะ ใครเป็นคนสุขล่ะ สุขตรงไหน แต่นั่นมันเป็นประเพณีวัฒนธรรมนะ วัฒนธรรมทางโลกของเขา
นี้พูดถึงความสุขแท้ไง สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี ความสุขสงบมันมีความสุขมาก ทีนี้ความสุขมาก ความสุขมากสุขอย่างไรล่ะ สุขแล้วเดี๋ยวมันก็คลายออก เพราะสรรพสิ่งในโลกนี้มันเป็นอนิจจัง แม้แต่บอกว่าทุกข์เป็นสัจจะ ทุกข์เป็นความจริง แม้แต่ความสุขมันก็คลายออกมา มันอยู่ไม่ได้หรอก สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง มันไม่มีอะไรคงที่เลย มันแปรสภาพอยู่ทั้งหมด ของที่แปรสภาพอยู่มันสุขได้อย่างไร ของที่มันยังแปรสภาพอยู่มันจะคงที่ได้อย่างไร มันจะเป็นความจริงได้อย่างไร
แต่มันเป็นความจริงสิ ความจริงเพราะว่าเรามีอยู่ไง เรามีหัวใจอยู่ไง หัวใจมันโดนกิเลสมันเหยียบย่ำอยู่ไง อยู่ที่ตัณหาความทะยานอยากครอบงำมันอยู่ไง ถ้ามันสุขสงบเข้ามามันเป็นข้อเท็จจริงของโลกไง ปฏิสนธิจิต จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส ไอ้ตอนเราจะข้ามพ้นกิเลสนี่แหละ พระพุทธเจ้าสอนตรงนี้ไอ้ตอนจะข้ามพ้นกิเลส ไอ้ตอนที่มีปัญญา ไอ้คนเกิดมามีปัญญาทั้งนั้นแหละ ไอน์สไตน์มันก็มีปัญญา มันยังบอกเลยมันจะขอนับถือศาสนาพุทธ
ปัญญาอย่างนั้นเป็นปัญญาทางโลก อย่าไปตื่นเต้นกับเขา ปัญญาอย่างนั้นเราเอาไว้ใช้เพื่อประโยชน์กับสังคม ประโยชน์กับโลกนะ ไอน์สไตน์ ทฤษฎีของเขาให้ประโยชน์กับสังคม ประโยชน์กับโลกเยอะมาก เขาทำประโยชน์กับโลกไว้เยอะมาก แต่นั่นมันเป็นปัญญาทางโลก แต่ไอน์สไตน์เอาตัวรอดได้ไหม ไอน์สไตน์เอาตัวรอดไม่ได้ ปัญญาทางโลกก็เป็นปัญญาทางโลก เราไม่ได้คัดค้าน แต่มันเป็นโลกียปัญญาปัญญาวิชาชีพ ปัญญาไว้หาอยู่หากิน แต่สติปัญญาที่เท่าทันตัวเองสำคัญที่สุด
ในสโมสรสันนิบาตทุกดวงใจว้าเหว่ ทุกดวงใจที่มีการเกิดขึ้นมามีความทุกข์ประจำธาตุขันธ์ ประจำหัวใจมาทุกๆ ดวงใจ ทุกๆ ดวงใจไม่งดเว้นแม้แต่เจ้าชายสิทธัตถะ เจ้าชายสิทธัตถะเกิดมา เวลาจะออกบวชอายุ ๒๙ มันทุกข์ยากขนาดไหน เวลาจะออกบวชมันทุกข์ยาก นั่นไงไม่ยกเว้น ไม่มีหัวใจยกเว้นเลย ทั้งเราด้วย เวลามันทุกข์ประจำธาตุขันธ์ ทุกข์ประจำหัวใจ
นี้เราเกิดมาเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ความทุกข์อย่างนี้ถ้าเราเข้าใจได้แล้ว เราเข้าใจได้ ทางประสาโลกปัญญาของเขา ปัญญาของเขาปัญญาอย่างนั้น ถ้าเราทำความสงบของใจเข้ามา ใจมันสงบ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี จิตสงบแล้วเดี๋ยวมันก็ฟุ้งซ่าน จิตสงบแล้วเดี๋ยวก็คลายออกมา ถ้ามันคลายออกมาจิตสงบแล้วฝึกหัดใช้ปัญญา ถ้าฝึกหัดใช้ปัญญา การฝึกหัดใช้ปัญญา การฝึกหัดใช้ ปัญญาจะเกิดเองขึ้นมาไม่ได้ คนเราจะฉลาดเองโดยที่ไม่มีการศึกษา ไม่มีการค้นคว้า มันฉลาดเองเป็นไปไม่ได้
ก็เหมือนกัน มีการฝึกฝนในหัวใจของเรา เราใช้ปัญญา ฝึกหัดใช้ปัญญาของเรา ปัญญามันละเอียดลึกซึ้งเข้า จากที่ว่าจิตที่ว่ามันจะสงบขนาดไหนมันก็ต้องคลายตัวของมัน จากสิ่งในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดคงที่ แปรสภาพหมด แม้แต่สมาธิมันก็เสื่อมเป็นธรรมดา เป็นธรรมดาเลย แต่ที่มันอยู่ได้ อยู่ได้เพราะความชำนาญของครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติ ดูสิ ฤๅษีชีไพรเขาเข้าฌานสมาบัติ เขาเข้าฌานสมาบัติ เวลาเขามีอภิญญามันเสื่อมหมดแหละ
คนทำได้เขาจะรู้ มันเสื่อมหมดเพราะมันไม่ใช่มรรค เวลาเป็นมรรคขึ้นมาเราฝึกหัด ถ้าจิตสงบแล้วเราฝึกหัดใช้ปัญญาของเรา แยกแยะของเรา ใช้ปัญญาแยกแยะ พอแยกแยะแล้วน้ำหูน้ำตาไหลแล้วกันแหละ แม้แต่ยังไม่เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม แต่เวลามันจับประเด็นของชีวิตได้ จับประเด็นของหัวใจได้ พิจารณาไปน้ำตาไหลพรากเลยล่ะ เวลาจิตมันเป็นภาวนามยปัญญา มันเป็นปัญญาเกิดจากปัญญาของเรา ปัญญาของจิตที่มันฝึกหัดค้นคว้าขึ้นมา
เวลาเราศึกษามานะศึกษาทางปริยัติจบ ๙ ประโยคมา นั่นก็เป็นการศึกษา นั่นเป็นสุตมยปัญญา ก็เหมือนปัญญาของไอน์สไตน์นั่นแหละ การค้นคว้าอย่างนั้นมันเป็นปัญญาของโลก มันเป็นโลกเพราะอะไร โลกเพราะสมองมันจำ โลกเพราะความศึกษา สุตมยปัญญาไง แล้วจินตมยปัญญาเราใคร่ครวญกัน เราพิจารณากัน เป็นจินตนาการกันมาตลอด แต่เรายังทำไม่ได้ไง เราถึงมาค้นคว้า
เราจะหาพระภายในๆ ของเรา ถ้าเราจิตสงบได้ สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน การงานตรงนั้นมันจะทำให้เกิดปัญญา ตรงนั้นน่ะตรงที่จิตสงบนั่นน่ะ ตรงที่ภวาสวะนั่นน่ะ ตรงที่จิตมันเกิดนั่นน่ะ ถ้ามันเกิดปัญญาขึ้นมา ปัญญาเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมมันพิจารณาของมัน น้ำหูน้ำตาไหล น้ำหูน้ำตาไหลมันก็เป็นความซาบซึ้งเท่านั้น มันเป็นตทังคปหานถ้ามันปล่อยวางชั่วคราวๆ มีความละเอียด มีความลึกซึ้ง มีการค้นคว้า มีการพิจารณาของมัน
พิจารณาแล้วพิจารณาเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ด้วยความขยันหมั่นเพียร ด้วยครูบาอาจารย์ของเรา ด้วยครูบาอาจารย์ของเราคอยชี้แนะคอยบอก มันตทังคปหานมันรู้ได้ ทุกคนก็รู้ได้ เวลาส้มหล่นเขาก็ทำกันได้ เขาก็แปลกใจมหัศจรรย์ของเขา แต่สมุจเฉทปหานไม่มีใครเคยรู้ ไม่มีใครเคยเห็น ถ้าสมุจเฉทปหานเกิดขึ้นมา ตามความเป็นจริงขึ้นมา นั่นล่ะอกุปปธรรม อกุปปธรรมมันคงที่ สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง ไม่มีสิ่งใดคงที่เลย เว้นไว้ธรรมะอันนี้ อกุปปธรรม อฐานะที่จะเปลี่ยนแปลง อฐานะที่มันจะแปรปรวน
อฐานะ อฐานะคือว่าเป็นไปไม่ได้ มันไม่เป็นไปตามกระแสโลกแล้ว ไม่เป็นไป คงที่ตายตัวของมัน แล้วเป็นอย่างไรล่ะ เป็นต้องคนที่เป็นบอก คนเป็นพูดได้ คนไม่เป็นพูดไม่ได้ แล้วถ้าพูดไม่ได้แล้วพยายามจะพูด พยายามจะพูดมันก็พยายามอธิบาย อธิบายเอาความเปลี่ยนแปลงมาอธิบาย เอาความเปลี่ยนแปลงมาอธิบายความไม่เปลี่ยนแปลงมันเป็นไปได้อย่างไร ความไม่เปลี่ยนแปลง ความคงที่ของมันมีอยู่ แล้วอธิบายอย่างไร ถ้าไม่รู้ไม่เห็นอธิบายอย่างไร แต่ถ้าอธิบายตามความเป็นจริง เราจะหาพระในหัวใจของเราไง พระแท้ๆ เรามาหากัน
วันนี้วันพระ วันพระนะจากภายนอก วันพระจากภายนอกนะ เราเป็นชาวพุทธใช่ไหม วันโกน วันพระเราก็ทำไปทำบุญกุศลของเรา ตามกระแสสังคม วัฒนธรรมประเพณีของสังคมเขา เขาทำของเขาเพื่อบุญกุศลของเขา ในเมื่อการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราอาศัยบุญนั้นเป็นเครื่องดำเนินมา แต่เวลาเราก็เวียนว่ายตายเกิดมาในวัฏฏะนี้ ถ้าเกิดก็เกิดอย่างนี้ เกิดแล้วเกิดเล่า จะเกิดเป็นเศรษฐีกุฎุมพี เกิดทุกข์ทนเข็ญใจขนาดไหนก็มนุษย์เหมือนกัน มนุษย์เหมือนกัน แต่อำนาจวาสนา ความรู้สึกนึกคิดจินตนาการ ความรู้สึกนึกคิดของเราสำคัญ
ถ้ารู้สึกนึกคิด เขาทุกข์ขนาดไหน คนทุกข์ทางโลกแล้วเขาประชดชีวิต เขาจี้ปล้นของเขา ทำลายชีวิตของเขาไปโดยไม่มีประโยชน์อะไรเลย เราเห็นทุกข์ในโลกเราสละ ฆราวาส ความเป็นฆราวาส เรามาบวชพระเป็นนักศีล นักพรต เพื่อค้นคว้า เพื่อหาความจริง ทุกข์เหมือนกัน แต่คนๆ หนึ่งทุกข์แล้วทำประชดชีวิต ทำลายตัวเองไป คนหนึ่งทุกข์เหมือนกัน ทุกข์แล้วหาทางออก ทุกข์แล้วดิ้นรน
มาบวชสังคมเขาจะตีหน้า เขาจะว่าไม่สู้สังคม สังคมเขาจะตีหน้าว่าเป็นคนท้อแท้ ให้สังคมเขาตีหน้าไป ยอมบากหน้าให้สังคมมันตีหน้า แล้วเราค้นคว้าของเรา เราเอาความจริงของเรา เก็บสิ่งที่เขาตีหน้า เขาประชดประชันเก็บไว้ในใจ แล้วเราพยายามทำความเป็นจริงของเรา แล้วไอ้สิ่งที่เขาประชดประชันเอามาข่มขี่กิเลสเราไว้ เขาว่าเราว่าเรามักมาก เขาว่าเราเป็นคนไม่ดี เขาว่าทั้งนั้น ถ้าเขาว่าเราอย่าทำ เราจะทำคุณงามความดีของเรา เราจะค้นคว้าของเรา เราจะเอาความจริงของเรา ถ้าความจริงมันเกิดขึ้นมา เขาต้องการสิ่งนี้
จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่งนะ ใจทุกๆ ดวงใจ ทุกดวงใจว้าเหว่ ทุกดวงใจอยากหาที่พึ่ง แล้วทุกดวงใจพยายามค้นคว้าอยู่ มันจับพลัดจับผลู จับสิ่งใดจับผิดจับถูก เขาต้องการครูบาอาจารย์ ต้องการคนคอยบอก เพราะถ้าเขารู้ของเขา ใครเสริมจิตใจให้เขาสูงขึ้นได้ ถ้าเขารู้ของเขา แล้วใครพูดถึงความรู้ของเขาเขาแปลกใจแล้ว แล้วยังบอกว่ามันยังไปได้ต่อ ไปได้ต่อ เขาอยากไปต่อ แต่ส่วนใหญ่แล้วพอรู้สิ่งใดแล้วมันคิดว่าสิ่งนั้นเป็นธรรมๆ เขาจะไม่ยอมไปต่อ ครูบาอาจารย์ของเราจะไปส่งเสริมให้เขาไปต่อๆ
สติ มหาสติ ปัญญา มหาปัญญา มันจะเกิดปัญญาอัตโนมัติ มันจะเกิดปัญญาญาณ มันจะเกิดสิ่งมรรคญาณ มันจะเกิดความเป็นจริงขึ้นมา แล้วมันเกิดที่ไหนล่ะ มันเกิดที่ไหน มันเกิดในทางจงกรม การนั่งสมาธิ ภาวนา มันเกิดในหัวใจ ถ้าหัวใจมันเกิดขึ้นมันเป็นความจริงนะ อกุปปธรรม อกุปปธรรม ถ้ามันอยู่กับใจดวงใดมันจะเห็นนะ เห็นว่าสรรพสิ่งในโลกนี้มันแปรปรวนไปทั้งนั้น แม้แต่ชีวิตของเรา แม้แต่ร่างกายมันอยู่ไม่ได้หรอก ทางการแพทย์อวัยวะแต่ละชนิด อวัยวะในร่างกายของเรามันมีอายุการใช้งาน
ตอนนี้วิทยาศาสตร์เจริญ สิ่งใดถ้าชำรุดก็เปลี่ยน เปลี่ยนอวัยวะๆ เขาเปลี่ยนอวัยวะนะเขาทำของเขาไป แต่มันรักษาชีวิตไว้ไม่ได้หรอก ตอนนี้ทางเทคโนโลยีเขาไปแช่ไว้ เขาบอกว่าต่อไปเขาจะเอาเซลล์ต่างๆ มาปลูกถ่ายให้เป็นชีวิตใหม่ขึ้นมา นั่นเป็นความคิดของเขา ความคิดของเขา แต่ของเรา เวลาเวียนว่ายตายเกิดก็ไอ้คนเก่านั่นแหละ จิตดวงนั้นนั่นแหละ เวียนว่ายตายเกิดด้วยบุญกุศล ด้วยบาปอกุศลมันเป็นไป ถ้าเราพิจารณาของเรา เราใช้ปัญญาของเรา เรามาดูตรงนี้ แล้วเราไม่ตื่นเต้นไปกับมัน ถ้าจิตมันเป็นความจริงแล้วมันปล่อยวางหมดแหละ มันรู้ของมัน แล้วถ้ามันอกุปปธรรมถึงที่สุดแห่งทุกข์แล้วยิ่งจบเลย
พระแท้ พระข้างนอก พระข้างใน เราจะหาพระของเราข้างใน มาทำบุญกุศลจำเป็นต้องทำ เพราะการทำบุญกุศลก็ไปเบียดเบียนกิเลสมัน กิเลสมันต้องถอยห่างออกไปให้สัจจะได้ยืนบนภวาสวะ บนหัวใจของเรา ถ้ามันมีสิ่งนี้เกิดขึ้นมันจะมีกำลัง มันจะมีอำนาจวาสนาบารมี เวลาภาวนาขึ้นไปแล้ว เวลาคอตก เวลาเวทนามันเกิด เวลาสิ่งใดบีบคั้นขึ้นมาเราอยากหาบุญกุศลส่งเสริม เราอยากหาสติปัญญาแก้ไข เราอยากหาทางออกของเราไง แต่เวลามันแห้งแล้ง เราไม่ได้ทำสิ่งใดไว้เลย แต่ถ้าทำมันจะมาหนุน
เข้าอำนาจวาสนา จริตนิสัยของคน ขิปปาภิญญาเขาทำมาเยอะ เขาทำมาเยอะ เขาทำมามากเขาถึงมีปัญญาอย่างนั้น เขามีทางออกอย่างนั้น ไอ้เรามันปัญญาขี้เหร่ ปัญญาจะเอาชนะ เอาชนะกิเลสด้วยกิเลสไง จะทำแบบนี้ให้ได้อย่างนั้น จะทำแบบนั้นจะได้อย่างนี้ มันรูปแบบ นี่ไงความจริงถ้าเป็นธรรมๆ มันจะเป็นธรรม มันเป็นสัจธรรม เป็นอริยสัจจะ ไอ้นี่ปัญญาขี้เหร่ ตัวเองคิดว่าเป็นปัญญา ศึกษามาๆ แล้วก็เอาสิ่งนั้น เอารูปแบบจะบีบคั้นมันให้กิเลสตายไป นั่นแหละกิเลสมันบังเงา กิเลสซ้อนไง ตัณหาซ้อนตัณหา กิเลสซ้อนกิเลส แล้วเราก็ทุกข์ยากไปนั่นน่ะ
ฉะนั้น เราทำบุญกุศลของเราเพื่อเหตุนี้ไง ให้มันเป็นความจริง เป็นข้อเท็จจริง เวลาภาวนาพยายามบริกรรม ใช้ปัญญาอบรมสมาธิให้มันสงบลง สงบแล้วเราพยายามรำพึงให้มันเป็นปัญญาขึ้นมา เวลาปัญญาขึ้นมาเราแยกแยะไป มันเป็นขั้นเป็นตอน เราทำของเราโดยสัจจะ โดยข้อเท็จจริง ไม่ใช่ว่าเราจะให้มันเป็นอย่างนั้น เบียดเบียนอย่างนั้น กำจัดอย่างนั้น ไอ้นั่นเป็นความจำทั้งนั้นแหละ สัญญา ถ้าสัญญาก็คือสัญญากิเลสพาใช้ มันมีสมุทัย ถ้าปัญญา ปัญญามรรคพาใช้ สมาธิปัญญาพาใช้ พาใช้มันเกิดปัญญาขึ้นมา มันจะเป็นสมบัติของเรา ค้นคว้าเพื่อเหตุนี้ ฟังทุกวันๆ ก็ฟังธรรมนี่แหละ ฟังธรรมเพื่อหัวใจของเรา เอวัง